กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมการข้าวจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวระดับประเทศ เนื่องในวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ปี 62
แถลงข่าวการจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวระดับประเทศ เนื่องในวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2562 โดยมีนายประสงค์ ประไพตระกูล อธิบดีกรมการข้าว พร้อมด้วยนางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว และนายอัษฎางค์ สีหาราช ประธานคณะกรรมการศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ ร่วมกันแถลงข่าวในครั้งนี้
นายประสงค์ เปิดเผยว่าข้าวเป็นพืชอาหารหลักและมีความสำคัญต่อประเทศและสังคมไทยอย่างยิ่ง พื้นที่ปลูกข้าว ในปี 2561/2562 มีประมาณ 69.56 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 45.80 ของพื้นที่ทำการเกษตร โดยมีชาวนาจำนวน 4.16 ล้านครัวเรือน คิดเป็น ร้อยละ 65 ของเกษตรกรทั้งประเทศ มีผลผลิตข้าวได้ 56.99 ล้านตันข้าวเปลือก และส่งออกทำรายได้ให้แก่ประเทศปีละประมาณ 200,000 ล้านบาท รวมทั้งข้าวมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนไทยมายาวนาน เป็นแหล่งก่อเกิดวัฒนธรรมประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับข้าวและชาวนาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ให้ความสำคัญเรื่องข้าวมาโดยตลอดในปีนี้ โดยเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 พร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการทำนา ที่อำเภอบางเขน และทอดพระเนตรกิจการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งได้ทรงหว่านข้าวด้วยพระองค์เอง ที่แปลงนาหลังตึกขาว เกษตรกลางบางเขน จึงถือเป็นวันที่เป็นสิริมงคลต่อวงการข้าวและชาวนาไทย และด้วยเหตุผลความสำคัญดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ เห็นชอบให้วันที่ ๕ มิถุนายนของทุกปีเป็น “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ”
ในปีนี้ กรมการข้าวจึงได้จัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวระดับประเทศ เนื่องในวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2562 ภายใต้โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ ปี 2562 ระหว่างวันที่ 5 – 7 มิถุนายน 2562 ขึ้น ภายใต้แนวคิด “ชาวนายุคใหม่ พัฒนาข้าวไทย ก้าวไกลสู่สากล” โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน ในวันพุธที่ 5 มิถุนายน 2562 เวลา 14.00 – 15.00 น. ณ กรมการข้าว กรุงเทพมหานคร
นายประสงค์กล่าวต่อไปว่า สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมทั้งเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่ทรง มีพระมหากรุณาธิคุณต่อกิจการด้านข้าวและชาวนาของไทย รวมไปถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี องค์ความรู้ด้านข้าวให้เกษตรกรที่เข้าร่วมงานได้รับทราบและนำไปประยุกต์ใช้
นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว ในฐานะโฆษกกรมการข้าวเปิดเผยว่าสำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วยนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าวได้ดำเนินการรับรองพันธุ์ข้าวเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 5 พันธุ์ ประกอบด้วย พันธุ์ กข79 (ชัยนาท 62) ข้าวเจ้าพันธุ์ กข83 (มะลินิลหนองคาย 62) ข้าวเจ้าพันธุ์ขะสอ 62 ข้าวเจ้าพันธุ์เม็ดฝ้าย 62 และข้าวเจ้าพันธุ์หอมใบเตย 62 ซึ่งข้าวทั้ง 5 พันธุ์เป็นตัวแทนของแต่ละภาค เปรียบเสมือนบุญบารมีของพระองค์ท่านแผ่ไพศาลทั่วทั้งประเทศ ทำให้อาณาราษฎรมีความร่วมเย็นเป็นสุข โดยข้าวทั้ง 5 พันธุ์นี้ จะมีการจัดแสดงภายในงาน ,ผลงานทางด้านนวัตกรรมข้าวต่างๆ, การเชื่อมโยงตลาดและการจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์,นิทรรศการเชิดชูเกียรติชาวนา, ผลงานของกลุ่มนาแปลงใหญ่ที่ชนะเลิศ รายการ The Super Farmer “เกมเกษตรกร”, ผลงานของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2562 ที่จะเข้ารับรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ, การแสดงผลงานขององค์กรชาวนา 9 องค์กร
นายอัษฎางค์ สีหาราช ประธานคณะกรรมการศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ กล่าวเพิ่มเติมถึง บทบาทของศูนย์ข้าวชุมชน ในการขับเคลื่อนนาแปลงใหญ่ ว่า นาแปลงใหญ่ของศูนย์ข้าวชุมชนตำบลคอรุม เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2559 โดยเกิดจากการร่วมมือ และมีแนวความคิดร่วมกัน เพื่อให้เป็นแหล่งผลิตข้าวชั้นดี เหมาะสมกับพื้นที่ เป็นแหล่งผลิตข้าวที่มีคุณภาพมีมาตรฐานรองรับ สำหรับศูนย์ข้าวชุมชนแห่งนี้ มีสมาชิก 148 ราย ทำเกษตรแปลงใหญ่ในพื้นที่รวมกลุ่มทำนา 4 รูปแบบ เพื่อทำการเปรียบเทียบการปลูกและผลผลิตที่ได้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร นอกจากนี้ เรายังมีการสร้างโรงสีเองในชุมชน สีข้าวแปรรูปใส่ถุงขายเอง เป็นการรวมกลุ่ม ช่วยกันผลิต ตั้งราคา รวมกันขาย ร่วมกันผลิตเมล็ดพันธุ์ เมื่อทำเช่นนี้แล้ว เราจะมีอำนาจในการต่อรอง ไม่ถูกพ่อค้าคนกลางเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งแต่เดิมเราเป็นกลุ่มเล็กๆ มีเงินทุนหมุนเวียนไม่มาก พอมีโครงการนาแปลงใหญ่ ที่กรมการข้าว เข้ามาส่งเสริมทำให้มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น สามารถแบ่งกลุ่มกันไปผลิตเมล็ดพันธุ์ ทำปุ๋ย ปลูกข้าวคุณภาพ ข้าวปลอดสารพิษ รวมทั้งข้าวตลาดเฉพาะ ข้าวอินทรีย์ เรียกว่าทำเองแบบครบวงจร ผลิตเอง ขายเอง