รูดม่าน ‘สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12’ เคาะ 4 มติ ส่งต่อ ครม.พิจารณา/ดันเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ
ปิดฉากการจัดงาน “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12” มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 2,300 คน จาก 254 เครือข่ายทั่วประเทศ ได้ข้อสรุป 4 มติหลัก ได้แก่ แร่ใยหิน-เพศภาวะ-ใช้ยาสมเหตุผล-รวมพลังต้านมะเร็ง เตรียมยื่นคณะรัฐมนตรีพิจารณา พร้อมยังร่วมประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนการทำเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติต่อไป
นพ.กิจจา เรืองไทย ประธานกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า การจัดงาน “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12” ระหว่างวันที่ 18-19 ธันวาคม 2562 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ มีผู้เข้าร่วมกว่า 2,300 คน จาก 254 กลุ่มเครือข่ายทั่วประเทศ มีกิจกรรมที่น่าสนใจทั้งการปาฐกถาพิเศษ โดย นพ.สำเริง แหยงกระโทก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า ระเบียบวาระทั้ง 4 เรื่องที่เข้าสู่การประชุมปีนี้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน การร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติของเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด 77 จังหวัดและเครือข่ายสมัชชาสุขภาพแห่งชาติทั่วประเทศ ที่เรียกร้องให้กระทรวงเกษตรฯ ต้องทำหน้าที่ยกเลิกสารเคมีการเกษตรที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมถึงการทำงานกับคนรุ่นใหม่เครือข่าย ‘Young ทำได้’ ที่จะมาสานต่องานและผลักดันอุดมการณ์และขยายเครือข่ายสมัชชาสุขภาพแห่งชาติต่อไป
สำหรับ 4 ระเบียบวาระที่สมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 12 ร่วมกันพิจารณา มีผลดังนี้ ร่างมติแรก การทบทวนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน
โดย นพ.ประสิทธิ์ชัย มั่งจิตร ประธานอนุกรรมการดำเนินการประชุม คณะที่ 1 กล่าวว่า ที่ประชุมยืนยันมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการออกกฎเกณฑ์ให้ยกเลิกการใช้แร่ใยหินเป็นวัตถุดิบในการผลิตกระเบื้องแผ่นเรียบ กระเบื้องยางปูพื้น ภายในปี 2565 และยกเลิกการใช้แร่ใยหินเป็นวัตถุดิบในการผลิตผ้าเบรกและคลัทช์ ท่อซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา ภายในปี 2568 ส่วนกระทรวงพาณิชย์ดูแลในเรื่องการนำเข้า กระทรวงมหาดไทยจะทำหน้าที่ควบคุมในส่วนของการปลูกสร้าง การรื้อถอนอาคาร และกระทรวงสาธารณสุขจะเน้นทำความเข้าใจให้ความรู้เรื่องผลกระทบของแร่ใยหินต่อไป
ในส่วนร่างมติ วิถีเพศภาวะ: เสริมพลังสุขภาวะครอบครัว นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ ประธานอนุกรรมการดำเนินการประชุม คณะที่ 2 กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติให้เน้นการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีการเลี้ยงบุตรหลานในมิติใหม่ให้เข้าใจเรื่องเพศภาวะ ซึ่งกระทรวงพัฒนาสังคมฯ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงภาคีอื่นจะร่วมจัดการความรู้ เสริมสร้างความเข้าใจ ส่วนกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นหน่วยงานสำคัญในการผลักดันให้ท้องถิ่นสนับสนุนพื้นที่สร้างความเข้าใจเรื่องนี้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นการช่วยท้องถิ่นแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว การฆ่าตัวตาย โรคซึมเศร้าฯ ด้วย ในขณะที่กระทรวงแรงงานจะส่งเสริมให้สถานประกอบการมีความรู้เรื่องเพศภาวะมากขึ้น
สำหรับการพิจารณา ร่างมติ การจัดการเชิงระบบสู่ประเทศใช้ยาอย่างสมเหตุผลโดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง นางทิพย์รัตน์ นพลดารมย์ รองประธานอนุกรรมการดำเนินการประชุม คณะที่ 1 กล่าวว่า การพิจารณามติ ได้เห็นความสนใจของภาคีต่างๆ ความมุ่งมั่นของหน่วยงานและเครือข่ายหลัก เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมไปถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับที่จะเป็นแกนหลักสำคัญของการขับเคลื่อนมติไปสู่การปฏิบัติ
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เพิ่มเติมความสำคัญของการใช้ยาสมเหตุผลไปถึงการดูแลจังหวัดพื้นที่รอยต่อประเทศเพื่อนบ้านและผู้ลี้ภัย โดยขอให้กระทรวงการต่างประเทศได้เข้ามามีบทบาทด้วย ท้ายสุดต้องขอชื่มชมสมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายพื้นที่จังหวัด ที่ได้ให้ความสนใจ ได้ร่วมกันแสดงความเห็นหาทางออก และแสดงความพร้อมในการจะจับมือร่วมขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้ประเทศไทยมีการจัดการเชิงระบบสู่ความเป็นประเทศการใช้ยาอย่างสมเหตุผลยา ประชาชนปลอดภัยจากการใช้ยา มีคุณภาพชีวิตที่ดี และที่สำคัญสามารถพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพได้
ในส่วนระเบียบวาระ รวมพลังชุมชนต้านมะเร็ง นางภารนี สวัสดิรักษ์ รองประธานอนุกรรมการดำเนินการประชุม คณะที่ 2 กล่าวว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุป เรื่องความตระหนักรู้ในการป้องกัน การคัดกรอง ความเข้าใจในการรักษา การอยู่กับผู้ป่วยมะเร็งระยะต่างๆ การอยู่กับโรคเพื่อทำให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างปกติสุขนั้น กระทรวงสาธารณสุขทำงานเพียงลำพังไม่ได้ จำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน อาทิ กระทรวงมหาดไทยเข้ามามีบทบาทเชื่อมโยงกับท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วยขับเคลื่อนงานในชุมชน กระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมช่วยส่งเสริมการวิจัยเครื่องมือต่างๆ เทคนิคการคัดกรอง และการวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและการแพทย์แผนต่างๆ รวมถึงความร่วมมือของเครือข่ายต่างๆ ซึ่งจะเป็นกลไกที่ทำให้เกิดการผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ป่วย ภาคประชาสังคม กลุ่มจิตอาสา กลุ่มเยาวชน บทบาทของสำนักงานกองทุนสนับสนุนและสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่จะทำให้คนเห็นความสำคัญของการตรวจสุขภาพ ช่วยพัฒนาพื้นที่ต้นแบบและขยายพื้นที่ต้นแบบที่ทุกส่วนบูรณาการความร่วมมือในการป้องกันและแก้ปัญหามะเร็ง สนับสนุนให้เกิดความรอบรู้ด้านสุขภาพทั้งในแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือกและภูมิปัญญาพื้นบ้าน การพัฒนาแอพลิเคชั่นในประเมินความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ซึ่งข้อเสนอเหล่านี้จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง การป้องกัน การคัดกรอง และการรักษาที่เหมาะสม มีมาตรฐาน ระบบการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึง แนวทางการนำมติสมัชชาสุขภาพไปขับเคลื่อนให้เกิดรูปธรรมได้ทั้งในระดับนโยบาย คือ การนำมติทั้ง 4 เรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ซึ่งใน คสช. มีองค์ประกอบของกระทรวงหลักถึง 6 กระทรวง สภาวิชาชีพด้านสาธารณสุข และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับงานด้านสุขภาพอยู่แล้ว จึงเป็นพื้นที่ของการประสานความร่วมมือ ประสานข้อมูล ระหว่างกระทรวง หน่วยงาน องค์กรที่เป็นกรรมการฯ ได้เลย การขับเคลื่อนผ่านกลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) รวมถึงการขับเคลื่อนโดยภาคีเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด 77 จังหวัดและเครือข่ายสมัชชาสุขภาพแห่งชาติทั่วประเทศ
********************************