ทริปในฝัน สวรรค์ 7 วัน ใน 3 ประเทศ…
เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์
“ยุโรปเชื่อแน่ว่าใครที่เป็นพวกขาเลาะชีพจรมักลงเท้า คงปักหมุดนี่คือประเทศในฝันสักวันต้องไปให้ได้”
ยุโรป 3 ประเทศในฝันของเหล่าขาเลาะต้องยกให้เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ คือประเทศต้น ๆ ที่จะดั้นด้นไปให้ได้
ยุโรปไปไม่ยากและก็ไม่แพงอย่างที่คิด ถ้าได้รู้จักผู้ชายที่ชื่อโสภณ สาสกุล ร่วมกับ บริษัท ดรีม เดสติเนชั่น ทัวร์ เพราะทุกเรื่อง ทุกปัญหาผู้ชายที่ชื่อโสภณจะรับไว้คนเดียวแล้วปล่อยให้เราไปเที่ยวยุโรปได้แบบชิล ๆ ง่าย ๆ เหมือนไปเดินเล่นแถวชายหาดบางแสน
การไปยุโรป 7 วัน 3 ประเทศในครั้งนี้ ต้องบอกว่าทานหรู นอนดี สถานที่เที่ยวเริ่ดเกินกว่ามูลค่าสี่หมื่นกว่า ๆ ที่จ่ายไป
ถึงแล้วเยอรมันที่ฝันไว้
การเดินทางในครั้งนี้ได้รับความสะดวกสบายจากเจ้าหน้าที่เป็นนอย่างดีแม้จะต้องมาต่อเครื่องที่ดูไบ แต่ไม่ต้องกังวลใด ๆ เพราะอิ่มหนำสำราญสุดๆ หลับไม่กี่ตื่นก็วาร์ปมาถึงยุโรปที่เมืองดุสเซลดอฟ ประเทศเยอรมนี แบบ ๆ ฟิน ๆ
เมืองดุสเซลดอฟ (Dusseldorf ) เมืองที่จะใช้เป็นประตูผ่านเข้าสู่ยุโรปในครั้งนี้ เป็นเมืองชิค ๆ ที่มีแม่น้ำไรน์ไหลผ่าน จึงมีสถานที่ชิค ๆ มากมาย หลังผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองอย่างสะดวกโยธิน ก็ได้เวลาไปเก็บเกี่ยวความสุขอย่างเป็นทางการ ด้วยการมุ่งหน้าสู่เมือง มืองโคโลญ
เมืองโคโลญ หรือโคโลญจน์ (Cologne) ภาษาเยอรมันเรียกว่า เมืองเคิลน์ ( Köln) ถือว่าเป็นเมืองใหญ่อันดันสี่ของประเทศเยอรมนี แต่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน
โคโลญ เป็นหนี่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมนี สร้างโดยชาวโรมัน มีประวัติศาสตร์ย้อนไปถึง ค.ศ. 50 เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไรน์ มีอาสนวิหารโคโลญซึ่งเป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียง และยังติดอันดับ 4 วิหารที่สูงที่สุดในโลกนอจากนี้ยัง มหาวิทยาลัยโคโลญเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปยุโรปอีกด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเมือมาโคโลญก็คือ อาสนวิหารโคโลญ ซึ่งเป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่งในยุโรป เป็นสถานที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของสามมหากษัตริย์แห่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นสถานที่เก็บหีบสามกษัตริย์ไว้ ณ ที่แห่งนี้ด้วย
อาสนวิหารโคโลญได้ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1248 แต่มีปัญหาต้องหยุดพักการก่อสร้างเป็นช่วงๆ ทำให้ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานกว่าหกร้อยปี ปาเข้าปี 1880 ถึงเสร็จสมบูรณ์
หลังจากนั้นถึงได้ประกอบพิธีวางหลักหินบันทึกข้อมูลการก่อสร้าง อาสนวิหารโคโลญ เป็นศาสนสถานของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก นับเป็นวิหารที่ใหญ่และเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกในช่วงเวลา 4 ปี ( ปี ค.ศ 1880-1884)
ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองโคโลญ ถูกทิ้งระเบิดทางอากาศทั้งหมด 14 ลูก แม้วิหารจะได้รับความเสียหายบางส่วน แต่ก็ไม่พังทลายลงมา ซึ่งเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ บ้างก็เชื่อว่า เพราะวิหารเป็นจุดสังเกตที่สำคัญของนักบิน จึงไม่ต้องการจะระเบิดทำลายทิ้งไปเสียทีเดียว จากความเสียหายดังกล่าว จึงมีการซ่อมแซมใน ระหว่างปี ค.ศ.1945 – 1948
และถึงแม้วิหารแห่งนี้จะได้รับความเสียหายจากการทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ตาม แต่ก็มีการซ่อมแซมปรับปรุงกลับมาให้ดีเหมือนเดิม ปัจจุบันก็ยังคงติดอันดับสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกอยู่ด้วย และปัจจุบันก็ได้ถูกจัดอันดับให้อยู่อันดับ 4 วิหารที่สูงที่สุดในโลกลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิคเป็นหอคอยแฝดสูง 157.38 เมตร กว้าง 86 เมตร ยาว 144 เมตร สร้างเพื่ออุทิศให้นักบุญซีโมนเปโตรและพระนางมารีย์พรหมจารี
ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองแห่งนี้ มีผู้เยี่ยมชมราวๆ 20,000 คนต่อวันและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 2536 จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดอีกแห่งในเมืองโคโลญ
อันซีน “มอนเชาว์”
วันต่อมา ของทริปในฝัน ได้วาร์ปมาสู่เมือง “เมืองมอนเชาว์” (Monschau) เมืองเล็ก ๆ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นอันซีนแล้ว ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศเยอรมนี โดยตัวเมือง นั้นตั้งอยู่ห่างจากชายแดนเบลเยียม (Belgium) ประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ในเขตอาเคิน (Aachen District) ของรัฐนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลิน (Nordrhein-Westfalen) หรือ นอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย (North Rhine-Westphalia) รัฐที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี
เมืองมอนเชาว์ เป็นเมืองสุดชิค ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาไอเฟล (Eifel mountain Range) เป็นเมืองที่อยู่ในอ้อมกอดของภูเขาอันสลับ ซับซ้อน
ย่านเมืองเก่าคือหนึ่งเสน่ห์ของเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ตั้งอยู่ในบริเวณใจกลางเมืองคราคร่ำด้วยบ้านไม้โบราณที่เรียงรายทอดยาวไปตามถนนแคบ ๆ ที่มีแม่น้ำรูร์ (Rur River)ไหลผ่านด้านหลัง โดย บ้านครึ่งไม้เหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันเมืองมอนเชาว์ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของประเทศเยอรมนี โดยอาคารที่โดดเด่นที่สุดของเมือง คือ บ้านสีแดง (Red House) ทาวน์เฮาส์สไตล์บาร็อค ที่ถูกสร้างขึ้นใน 1752 โดย Johann Heinrich Scheibler ปัจจุบันอาคารแห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในอาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของเมืองมอนเชาว์อีกด้วย
โอ้โห ! โคเฮม
พวกเราเก็บความสวยอันคลาสสิคของเมืองมอนเชาว์ไว้ที่ขั้วหัวใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือ
โคเฮม (Cochem) เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็ก ๆ โก้ หรูหรา สงบเพราะเป็นเมืองที่สวยแต่ไม่ดัง ว่ากันว่าโคเฮม มีลักษณะและทำเลที่ตั้งของเมืองตลอดจนทิวทัศน์มีความคล้ายคลึงกับเมืองไฮเดลเบิร์ก (Heidelburg) ซึ่งมีชื่อเสียง ถ้าใครชอบเมืองสวย ๆ แต่ไม่พลุกพล่าน คุณจะตกหลุมรักโคเฮมได้อย่างหัวปักหัวปำ
เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ทอดยาวไปตามแม่น้ำ Moselle ในรัฐ Rhineland-Palatinate ทางตะวันตกของประเทศ เต็มอิ่มไปกับความงามของวิวทิวทัศน์ และทุ่งนากว้างใหญ่หลังหุบเขาสูงชัน โดดเด่นด้วยอาคารบ้านเรือนที่ตั้งขนานไปตามริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคโรมัน และมีเนินเขาไว้สร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกราน
จุดเด่นที่สุดของเมืองคือปราสาทไรชสบวร์ก (Reichsburg Cochem) หรือ (Cochem Imperial castle) ปราสาทที่มีลักษณะเป็นป้อมปราการบนเนินเขากลางเมือง ปัจจุบันปราสาทดังกล่าวกลายเป็นจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยว เพราะสามารถมองลงมาเห็นทิวทัศน์ของเมืองด้านล่างได้ทั้งหมด การเข้าชมภายในปราสาทนั้น ต้องเสียค่าเข้า
สโลว์ไลฟ์ที่.. “ไฮเดลเบิร์ก”
หลังจากกล่าวคำลาโคเฮมก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่ ไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg) เมืองที่มีวิถีแบบสโลว์ไลฟ์ เพราะเป็นเมืองเก่าแก่อายุนับพันปีนอกจากจะขึ้นชื่อในเรื่องสโลว์ไลฟ์แล้ว เมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุดของเยอรมนีอีกด้วย
เสน่ห์ของเมืองอยู่ที่ความมีชีวิตชีวาของผู้คนในเมืองที่ไม่เร่งรีบ ซึ่งต่างจากวิถีชีวิตในเมืองหลวง และยังมีตลาดย่านเมืองเก่า ที่เต็มไปด้วยแหล่งช้อปปิ้ง ของกินของใช้ เดินชิล ๆ ท่ามกลางสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์
ปราสาทไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg Castle) ว่ากันว่าหากมาถึงเมืองไฮเดลเบิร์ก ที่พลาดไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะหาว่ามาไม่ถึงก็คือ ก็คือปราสาทแห่งนี่นี้เอง
ซึ่งปราสาทแห่งนี้จะอลังการงานสร้างใครเห็นต้องอยากร้องกรี๊ด ๆ ในความอเมซิ่ง ประหนึ่งได้หลุดเข้าไปสู่โลกแห่งเทพนิยาย
ปราสาทไฮเดลเบิร์ก ก่อสร้างด้วยอิฐแดงเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค เรเนซองค์ จึงดูโก้ ดูขลัง หนึ่งไฮไลท์ของปราสาทแห่งนี้ก็คือการไปชมถังไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนั้นยังพิพิธภัณฑ์ให้ได้ศึกษาหาความรู้
และที่สำคัญของการมาปราสาทแห่งนี้คือ… วิวของเมืองไฮเดลเบิร์กที่อยู่ด้านล่าง ที่แสนจะสวยงามและโรแมนติกสุด ๆ
บงชูร์..ฝรั่งเศส ถึงแล้วเมืองสตารสบูร์ก
หลังเต็มอิ่มกับเยอรมันก็ได้เวลาวาร์ปมาบงชูร์ ฝรั่งเศส ที่เมืองเมืองสตารสบูร์ก
เมืองสตารสบูร์ก (Strasbourg) เมืองชายแดนฝรั่งเศสติดชายแดนสวิส ตั้งอยู่ในแคว้นอัลซาส จังหวัดบาแร็งส์ ประเทศฝรั่งเศส ทำเลมีความสวยงามเพราะตั้งอยู่ริมแม่น้ำอีล ติดกับพรมแดนประเทศเยอรมันอีกประเทศหนึ่ง ทำให้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมของเยอรมันมาด้วย สังเกตได้จากลักษณะบ้านเรือนที่ปลูกสร้างแบบ Timber-framed ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตลอดตัวเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งย่านที่เรียกว่า Petite France ที่จะได้เห็นบ้านเรือน Timber-framed ตั้งอยู่สองฝั่งคลอง สวยงามมากๆ เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมอันดับหนึ่งในตัวเมือง Strasbourg มีบริการล่องเรือชมวิวด้วย
สถานที่สำคัญที่เป็นจุดเช็คอินของเมืองก็คือ มหาวิหารแห่งสตารสบูร์ก ( Notredame de Strasbourg ) เป็นมหาวิหารขนาดใหญ่ที่ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในโลกในสมัยยุคกลาง (ค.ศ.1647-1874) และบริเวณวิหารนี้ ยังเป็นแหล่งรวมร้านอาหารร้านค้าช้อปปิ้งมากมาย เชื่อมต่อไปยังถนน Rue de 22 November ไปจนสุดสถานีรถไฟ Strasbourg
สถานที่ต่อมาขาช้อปต้องมือสั่น นั่นก็คือจัตุรัสเกลแบร์ (Place Kleber) เป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองนี้ นอกจากจะมีลานกว้างเหมาะแก่งถ่ายรูปแล้ว ยังเต็มไปด้วยตึกอาคารโบราณที่สวยงาม มีร้านค้ามากมายกว่า 300 ร้าน ขาช้อปทั้งหลายซ้อมล้มละลายได้เลย
สถานที่ต่อมาเรามุ่งหน้ามาสู่เมืองกอลมาร์ (Colmar) ที่ว่ากันว่านี่คือ “เมืองเวนิสน้อยแห่งฝรั่งเศส”
กอลมาร์ เป็นเมืองเก่าแก่ของประเทศฝรั่งเศสที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นดินแดนแห่งความโรแมนติกและได้รับการขนานนามว่า “ลิตเติ้ลเวนิส” และเมืองนี้ก็ยังถูกจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศฝรั่งเศส
เป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 น้อยมากจึงยังคงรักษาความสวยงามแบบดั้งเดิมของอาคารบ้านเรือนต่าง ๆไว้ได้เป็นอย่างดี เอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นเสน่ห์ของที่นี่คือบ้านเรือนที่สวยงามแบบดั้งเดิมที่ตั้งอยู่ตาม 2 ฝั่งริมคลองเล็ก ๆ ที่ถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ได้อย่างงามลงตัว
อาคารบ้านเรือนของเมืองเก่าแห่งนี้ยังสร้างอยู่ท่ามกลางสวนองุ่น และที่นี่ก็ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตไวท์คุณภาพชั้นเลิศให้คุณได้เลือกลิ้มลองไวท์คุณภาพเยี่ยม และมนต์เสน่ห์แห่งความเก่าแก่ดั้งเดิมของที่นี่รวมไปถึงวัฒนธรรม การแสดง และอาหารอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนหลั่งไหลมาท่องเที่ยวเมืองแห่งนี้
สวิสเซอร์แลนด์แดนสวรรค์
เช้าวันต่อมาได้เวลามุ่งหน้าสู่สวิสเซอร์แลนด์แดนสวรรค์ วาร์ปไปที่เมือง
กรินเดิลวัลท์ (Grindelwald) เป็นหมู่บ้านในอำเภออินเทอร์ลาเคิน-โอเบอร์ฮาสลี ในรัฐแบร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 1,034 เหนือระดับน้ำทะเล ในที่ราบขนาดใหญ่ลึกเข้าไปในหุบเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอินเทอร์ลาเคินราว 20 กิโลเมตร กรินเดิลวัลท์เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในฤดูหนาว ชื่อหมู่บ้านนี้ปรากฏอยู่ในเอกสารเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1146 เมื่อพระเจ้าคอนราดที่ 2 แห่งเยอรมนีทรงอุทิศอาคารในกรินเดิลวัลท์ให้แก่อารามเมืองอินเทอร์ลาเคิน ภายในหมู่บ้านยังขุดพบเครื่องมือสมัยยุคหินใหม่ตลอดจนพบเหรียญโรมัน
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของเมืองนี้ก็คือ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) โดยมีสถานีรถไฟจุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป (Top of Europe) ตั้งอยู่ด้านบน ยอดเขาจุงเฟรา เป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 4,000 เมตร ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2007
การจะขึ้นไปยอดเขาจุงเฟรา มีวิธีเดียวนั้นก็คือการนั่งรถไฟขึ้นไป โดยมี 2 เส้นทางให้เลือก คือ Lauterbrunnen และ Grindelwald ซึ่งทั้งสองเส้นทางจะวิ่งผ่านหมู่บ้านและทุ่งหญ้า ค่อย ๆ ไต่ความสูงขึ้นไปจนถึงสถานีรถไฟจุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ที่ความสูง 3,454 เมตร ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป
เมื่อถึงสถานีปลายทางจะได้พบกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การสร้างทางรถไฟสายนี้ ที่จัดแสดงในอุโมงค์ยาว พร้อมทั้งมีถ้ำน้ำแข็ง (Ice Palace) ที่มีรูปปั้นแกะสลัก และอุโมงค์ถ้ำน้ำแข็งให้ได้เที่ยวชม
จุดที่นักท่องเที่ยวต้องไม่พลาดก็คือบริเวณจุดชมวิว สามารถออกไปสัมผัสกับหิมะสีขาวโพลน พร้อมกับชมทัศนียภาพของธารน้ำแข็ง Aletsch ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่มาก ๆ อีกแห่งหนึ่งในยุโรป และต้องขึ้นไปที่หอคอย Sphinx ซึ่งมีความสูงถึง 3,571 เมตร บนคอหอยจะสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา มองเห็นยอดเขาอื่น ๆ เรียงรายสลับซับซ้อน ยอดเขาแต่ละแห่งต่างปกคลุมไปด้วยหิมะสวยงาม
หลังจากตะลุยหิมะจนหนำใจแล้วก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่ หลังคาแห่งยุโรปนั่นก็คือเมืองลูเซิร์น
ลูเซิร์น ( Lucerne) เป็นเมืองหลวงของรัฐลูเซิร์นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความที่ลูเซิร์นเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในภาคกลางของประเทศ ทำให้ลูเซิร์นกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ, การคมนาคม, ทางวัฒนธรรม ของภาคกลาง ภาษาทางการที่ใช้ในลูเซิร์นคือภาษาเยอรมัน ตั้งอยู่ชายฝั่งด้านตะวันตกติดกับทะเลสาบลูเซิร์น มีแม่น้ำร็อยส์ไหลออกมาจากทะเลสาบผ่านกลางเมือง จากเมืองนี้สามารถมองเห็นเทือกเขาแอลป์, เขาพีลาทุส และเขารีกี ลูเซิร์นมีภูมิอากาศเย็นตลอดทั้งปี สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้าพลาดเมือยามมาเยือนนั่นก็คือ
สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge)
สะพานไม้ชาเปลเป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์นโดยตัวสะพานได้ทอดข้ามแม่น้ำรอยส์มาสู่ฝั่งเมืองเก่าลูเซิร์น ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 มีความยาว 204 เมตร สวยสง่าและมั่นคงแข็งแรง มีอายุกว่า 500 ปี แม้จะเคยถูกไฟไหม้จนเสียหายอย่างมากใน ค.ศ.1993 แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนกลับมาอยู่ในสภาพสวยงามมั่นคงเหมือนเดิม
ตัวสะพานมีหลังคามุงแบบโบราณ เชื่อมต่อไปยังป้อมแปดเหลี่ยมกลางน้ำ นั่นก็คือ หอคอยน้ำ แต่ก่อนเคยใช้เป็นที่คุมขังนักโทษและเก็บเอกสารรวมทั้งของมีค่าของเมืองไว้ ซึ่งมีฐานเชื่อมติดอยู่กับสะพานไม้โดยตลอดแนวสะพานนั้นประดับด้วยภาพเขียนที่บอกเล่าเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไว้ เมื่อเดินอยู่บนสะพานจะสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ ขลังและสวยงามไปพร้อมๆ กัน
อนุสาวรีย์สิงโต (Lion Monument)
อนุสาวรีย์รูปสิงโตหินแกะสลักเป็นอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง อยู่ไม่ไกลจากสะพานไม้ชาเปล สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารสวิสผู้กล้าหาญและซื่อสัตย์ที่เสียชีวิตระหว่างการต่อสู้ป้องกันพระราชวัง ในคราวปฏิวัติใหญ่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทหารส่วนใหญ่นั้นเป็นชาวลูเซิร์น
รูปปั้นถูกออกแบบและแกะสลักโดย ธอร์ วอลเส้น ใช้เวลาแกะสลักอยู่ราว 2 ปี โดยจงใจใช้สิงโตเพื่อสื่อความหมายแทนทหารกล้าที่เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะว่าสิงโตเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองของชาวลูเซิร์น
นุสาวรีย์สิงโตแห่งนี้ ก็ถือว่าเป็นความงดงามในด้านประติมากรรมที่มีชื่อเสียงที่สุด ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ZUG (ซูค) เมืองที่รวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราฉันไดก็ฉันนั้นทริปในฝัน สวรรค์ 7 วันก็ถึงเวลากล่าวคำลาเช่นกัน สถานที่สุดท้ายของทริปนี้เป็นการปิดทริปด้วยความหรูหราที่เมืองซูค
ซูค ( Zug) เป็เมืองเล็ก ๆ แต่มีความหลากหลาย การคมนาคมสาธารณะที่ยอดเยี่ยม ซูคได้รับการขนานนามว่า เป็นเมืองที่เล็กแต่ร่ำรวยที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และติดอันดับเมืองที่สะอาดที่สุดในยุโรป เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ เป็นทางผ่านของหลาย ๆ เมือง เช่นถ้าจะไปลูเซิร์น จากซูริค เราก็จะผ่านซูคด้วย เมืองซูคเคยเป็นเขตปกครองที่มีรายได้เฉลี่ยน้อยที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์แต่ทว่าปัจจุบันคือเมืองที่รวยที่สุด โดยเรียกเก็บค่าภาษีในอัตราต่ำที่สุดในโลก ทำให้เป็นข้อได้เปรียบในเชิงการต่อรองราคาทางธุรกิจ และยังติดอันดับเมืองที่สะอาดที่สุดหนึ่งในสิบของโลกอีกด้วย
เรื่องความสวยงามก็ไม่น้อยหน้าเมืองอื่นเช่นกันไล่มาตั้งแต่
ย่านเมืองเก่า ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 มีอาคารบ้านเรือนที่ยังคงความเก่าแก่แต่สวยงามพื้นถนนปูด้วยหินจากยุดกลาง ผนังตึกประดับประดาด้วยภาพวาดสีสันสดใส นอกจากนี้ยังมีคำร่ำลือกันว่า พระอาทิตย์ตกที่ทะเลสาบซูคนั้นสวยงามที่สุดในสวิส แหมถ้ามีเวลาอยู่ต่อต้องขอไปพิสูจน์ ว่าจะงามขนาดไหน
โบสถ์ฟราวมุนสเตอร์ (Fraumunster) โบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 9 หรือราวปี ค.ศ. 853 โบสถ์แห่งนี้ ขึ้นชื่อเรื่องงานกระจกสี ขนาดใหญ่ที่มีความงดงามมาก และยังขึ้นชื่อในเรื่องของสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ และภาพเขียนบนผนังปูน
บทสรุปทริปในฝัน สวรรค์ 7 วัน ใน 3 ประเทศครั้งนี้ อยากจะบอกว่า…ยุโรปไปง่าย ไม่แพงอย่างคิด กำเงินสี่หมื่นนิดก็สามารถไปพิชิตยุโรปได้เช่นกัน
ปล. ทริคท่องยุโรป ง่าย ๆ สะบายกระเป๋า … โทร.08 1807 0801 (โสภณ สาสกุล)